คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762-1763/2559

บริษัทย่อมมีวัตถุประสงค์ในทางหากำไรมาแบ่งปันกันในระหว่างผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อมหวังที่จะได้รับประโยชน์จากเงินปันผลหรือได้รับกำไรเมื่อโอนขายหุ้นหรือหวังจะได้ใช้สิทธิจากการถือหุ้นในการควบคุมกิจการงานของบริษัทซึ่งโดยปกติก็เป็นเรื่องของการค้าหากำไร เพราะหุ้นของบริษัทไม่ใช่ทรัพย์สินที่อาจจะได้ประโยชน์ในทางด้านใช้สอย หรือมีคุณค่าทางด้านศิลปะ หรือมีประโยชน์ในด้านอื่นอย่างทรัพย์สินทั่วๆไป การได้หุ้นมาจึงย่อมถือว่าเป็นการได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร รายได้จากการขายหุ้นจึงเป็นเงินได้พึงประเมินในการเสียภาษีเงินได้ เว้นแต่จะมีการพิสูจน์ให้เห็นว่าหุ้นนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรโดยแท้จริง การที่ผู้จัดการมรดกและทายาทจัดตั้งบริษัทสุวพีร์ธรรมวัฒนะ จำกัด และบริษัทสุวพีร์ธรรมวัฒนะ (1990) จำกัด แล้วแบ่งหุ้นในบริษัททั้งสองดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองและทายาทอื่น เป็นการสงวนผลประโยชน์รายได้ที่เกิดจากกิจการตลาดยิ่งเจริญให้ตกอยู่แก่ทายาทนางสุวพีร์ที่ถือหุ้นบริษัททั้งสองไว้ต่อไป และการถือหุ้นของโจทก์ทั้งสองกับทายาทดังกล่าว ยังทำให้ได้บริหารกิจการตลาดยิ่งเจริญซึ่งน่าจะคาดหมายได้ว่ามูลค่าทรัพย์สินนี้จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถือได้ว่าการได้รับหุ้นบริษัททั้งสองเป็นเรื่องของการค้าหากำไร

เมื่อเงินที่โจทก์ทั้งสองได้รับจากการขายหุ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงินได้พึงประเมินและมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ โจทก์ทั้งสองต้องยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย วันที่ 31 มีนาคมของปีภาษีถัดจากปีที่ได้รับเงินได้พึงประเมิน การที่จำเลยคำนวณดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสองในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันสิ้นกำหนดระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนดจึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว